ลายหางกระรอกหรือกะเนียว

ผ้าที่มีลักษณะสีเหลือบเหมือนสีนทางของกระรอก จัดเป็นผ้าลายโบราณอีกลายหนึ่ง มีการทอผ้าชนิดนี้ทั่วประเทศ
ลวดลายเกิดจากการนำเส้นใยอย่างน้อย ๒ สีนำมาตีเกสียวรวมกัน แต่เดิมใช้เส้นสีขาว ๑ เส้นเป็นเส้นหลักในการควบเกลียว
การควบเส้นใยก่อนนำมาทอ มีชื่อเรียกแตกต่างกัน ได้แก่
ㆍ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เรียก เข็น
ㆍ ภาคเหนือตอนล่าง เรียก ปั่นไก
. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง เรียก กะเนียว ซึ่งคาดว่าผันมาจาก “คะเนว” (ภาษาเขมร) แปลว่า ของสองสิ่ง
ที่เกี่ยวพันกัน
ㆍ จังหวัดอุบลราชธานี เรียก มับไม
ㆍ ไทพวน เรียก มะรังไม
ความสวยงามของผืนผ้า เกิดจากการเลือกสีและการควบดีเกลียวเส้นใยอย่างน้อย 6 สี การควบแบบหลวม ๆ
หรือควบแบบตีเกลียวแน่นเป็นเส้นเดียวมีผลต่อสีสันและลักษณะลายของผ้าหางกระรอก ส่วนใหญ่นิยมใช้เป็นเส้นพุ่ง ยกเว้น
ผ้าซิ่นของกลุ่มหาดเสี้ยว อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ที่ใช้เส้นทางกระรอกเป็นเส้นยืน เรียกว่า “ชื่นเข็น” บางแห่ง
เรียกว่า “ผ้าชื่นปั่นไก”
นอกจากนี้ยังพบว่า ในจังหวัดอุบลราชธานีมีการทอผ้าแบบดั้งเดิม ที่เรียกว่า “อิ่นหิว” ที่มีลักษณะลายเป็นริ้วเล็ก ๆ
ทางเส้นยืน เกิดจากการเรียงเส้นยืนสลับสี ๒ สีเป็นคู่ 1 (สีแดง-สีดำ) โดยสีดำย้อมด้วยผลมะเกลือ สีแดงย้อมด้วยครั่ง
ใช้เส้นพุ่งที่ย้อมต้วยสีดำ ถ้าใช้เส้นยืนสีน้ำเงินย้อมด้วยครามสลับกับสีดำย้อมด้วยผลมะเกลือก็ใช้เส้นพุ่งสีดำเช่นเดียวกัน
ปัจจุบันไม่ค่อยพบการทอผ้าซิ่นทิว

  “ผ้าหางกระรอก” เป็นผ้าทอโบราณที่มีลักษณะลวดลายเรียบง่าย แต่แฝงด้วยความประณีตและงดงาม โดยใช้เทคนิคการทอผ้า
ที่เป็นเอกลักษณ์ของชนเผ่าไทคือ “การควบเส้น” หรือคนไทยเรียกว่า “ผ้าหางกระรอก”

        ผ้าหางกระรอกถือเป็นผ้าโบราณที่พบมากในแถบอีสานใต้คือ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี และพบในภาคใต้ที่นครศรีธรรมราช ตรัง “โฮลเปราะห์” และสตรีใช้นุ่งทอเปลงเป็นลายริ้ว เรียกว่า “โฮลแสร็ย”

        จังหวัดนครราชสีมา ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งทอผ้าหางกระรอก ที่สามารถทอผ้าได้งดงามที่สุดแห่งหนึ่ง ซึ่งลักษณะสำคัญ
ของผ้าหางกระรอกคือ เป็นผ้าพื้นเรียบที่ใช้เทคนิคการทอพิเศษ ที่นำเส้นพุ่งพิเศษโดยใช้เส้นไหม หรือเส้นฝ้าย 2 เส้น 2 สี มาตีเกลียวควบเข้าด้วยกันให้เป็นเส้นเดียว ที่เรียกว่า เส้นลูกลาย หรือ ไหมลูกลาย หรือ เส้นหางกระรอก ใช้อุปกรณ์ในการตีคือ ไน และโบก ซึ่งต้องอาศัยทักษะความชำนาญของผู้ตีเกลียวที่จะทำให้ได้เกลียวถี่ หรือเกลียวห่างตามต้องการ ส่วนเส้นไหมที่จะนำมาตีเกลียวนั้นควรเป็น เส้นไหมน้อยที่คัดเป็นพิเศษให้ได้เส้นไหมที่สม่ำเสมอกัน จากนั้นจึงนำไปเป็นเส้นพุ่งทอผ้า และผ้าที่ได้จะมีลักษณะลวดลายเล็กๆ ในตัวมีสีเหลือบมันวาวระยับดูคล้ายเส้นขนของหางกระรอก ครั้งหนึ่งผ้าหางกระรอกเคยเป็นผ้าประจำจังหวัดนครราชสีมา ตามคำขวัญเดิมของจังหวัดที่ว่า “นกเขาคารม อ้อยคันร่ม ส้มขี้ม้า ผ้าหางกระรอก ดอกสายทอง แมวสีสวาท” เพราะโคราชมีการทอผ้าหางกระรอกมานานกว่าร้อยปี

        จังหวัดสุรินทร์และบุรีรัมย์ ชาวกูยนิยมใช้และทอผ้าไหมควบ สตรีชาวกูยมีความชำนาญในการตีเกลียวเส้นไหม เรียกว่า ละวี
หรือ ระวี ตามความเชื่อ เรื่องความกลมเกลียวสามัคคีกันในครอบครัวและสายตระกูลที่นับถือผีด้วยกัน การนำไหมสองสีมาควบกันเรียกว่า “กะนีว” หรือ “ผ้าหางกระรอก” เมื่อนำมาใช้เป็นเส้นพุ่งทอกับเส้นยืน สีพื้นจะทำให้เกิดลายเหลื่อมกันเป็นสีเหลืองคล้ายหางกระรอก ลักษณะของผ้ากะนีวนี้ผิวสัมผัสจะมีความมันระยิบระยับ เมื่อนำไปส่องกับแดดจะแยกสีได้ชัดเจน ผู้ชายไทยกูย นิยมนุ่งผ้าไหมควบ (หะจิกกะน้อบ) สำหรับนุ่งโจงกระเบน

        ชื่อที่เรียกว่า “ผ้าหางกระรอก” อาจเป็นเพราะลวดลายของผ้าทอที่มีลักษณะเนื้อผ้าที่มีความเหลือบสี เห็นเป็นลายเส้นเล็กๆ ในตัว ซึ่งมองดูแล้วคล้ายกับขนของหางกระรอก จึงเป็นที่มาของชื่อเรียกดังกล่าว นอกจากนี้ ชื่อเรียกผ้าชนิดนี้จะแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น ตามรูปลักษณ์ที่มุ่งเน้นเช่น บางพื้นที่เรียกว่า ผ้าวา ผ้ายาว ซึ่งเป็นการเรียกตามลักษณะความยาวของผืนผ้าที่ยาวกว่าผ้าถุงเท่าตัว บางพื้นที่เรียกว่า ผ้าควบ เพราะถือเอาวิธีการทอแบบตีเกลียวควบมาใช้เป็นชื่อเรียก แต่คนส่วนใหญ่นิยมเรียกว่าผ้าหางกระรอกมากกว่า

  เทคนิคการทอผ้าโดยใช้ไหมเส้นพุ่ง 2 เส้น ควบกันโดยนำมาตีเกลียวควบเข้าด้วยกันให้เป็นเส้นเดียว โดยใช้อุปกรณ์ในการตีคือ ไน และโบก ผ้าหางกระรอกโดยทั่วไปนิยมใช้สีเหลืองมาควบ เมื่อนำมาทอเป็นเส้นพุ่งบนผืนผ้า จะทำให้ผ้าทอที่เป็นผ้าพื้นมีความสวยงาม จากสีเหลืองของไหม เส้นไหมสองเส้นสองสีมาตีเกลียวควบให้เป็นเส้นเดียวกัน เรียกว่า “เส้นควบ” , “เส้นลูกลาย” หรือ “เส้นหางกระรอก”จากนั้นนำมาทอพุ่งขัดกับเส้นยืน ซึ่งใช้สีอีกหนึ่งอาจเข้มหรืออ่อนกว่าสีที่ใช้ เพื่อให้เกิดลายขัดเด่นขึ้นมา
จะได้ผ้าพื้นที่มีลายเหลือบเล็กๆ ในเนื้อผ้าดูคล้ายจะมีปุยขนอ่อนขึ้นมาเหมือนกับเส้นขนของหางกระรอก จึงเรียกว่า“ผ้าหางกระรอก”

       เทคนิคการทอผ้าชนิดนี้ นับเป็นเทคนิคดั้งเดิมของชนเผ่าไท เพราะมีการทอผ้าชนิดนี้ในชนเผ่าไทดั้งเดิม คือ ชาวภูไท และ
ไทลาว เรียกเทคนิคนี้ว่า “การเข็น” ไทยวนเรียก “ปั่นไก” กลุ่มชาวไทพวนเรียกว่า “มะลังไม” หรือ”มับไม” กลุ่มไทภาคกลาง ไทภาคใต้ และไทอีสานทั่วไปเรียกว่า “ผ้าหางกระรอก” ส่วนชาวไทเชื้อสายเขมร และชาวส่วย (กูย) เรียกเป็นภาษาเขมรว่า “กระเนียว” หรือ
“กะนีว” ชาวไทยอีสานแต่โบราณจะนำผ้าหางกระรอก หรือบางที่ เรียกว่า ผ้าม่วง มานุ่งเป็นโจงกระเบน

 ผ้าไหมหางกระรอกเป็นผ้าที่มีลายเหลือบเงาสวยงาม มีวิธีการทอทำให้เกิดลวดลายได้ 3 แบบ ได้แก่
        1) ลวดลายหางกระรอกที่พุ่งไปด้านขวา เป็นการทอด้วยเส้นใยที่ตีเกลียวด้านขวา
        2) ลวดลายหางกระรอกที่พุ่งไปด้านซ้าย เป็นการทอด้วยเส้นใยที่ตีเกลียวด้านซ้าย
        3) ลวดลายหางกระรอกที่มีสายพุ่งเป็นหยักแหลม เป็นการใช้กระสวย 2 อัน พุ่งทอย้อนสลับซ้ายขวา

       ลักษณะทั่วไปของผ้าหางกระรอกคือ จะเป็นผ้าพื้นเรียบชนิดหนึ่ง มีความกว้าง 1 หลา ความยาว 4 หลา มักมีสีเข้มเช่น สีเม็ดมะขาม สีเปลือกมังคุด สีแดงครั่ง ฯลฯ โดยจะมีลายเหลือบสีในตัว มองเหมือนภาพ 3 มิติ ทั้งนี้ผ้าหางกระรอกโบราณจะมีริ้วเชิงชายคั่นที่ชายผ้าทั้งสองด้าน ทอด้วยเส้นไหม ที่ต่างสีจากสีพื้น จะทอเป็นเส้นเล็กๆ 8-9 เส้น และมีเส้นกรอบบังคับไว้อีกข้างละ 3-4 เส้น ตามความพึงพอใจของผู้ทอ หรือบางผืนจะทอเป็นลายลูกแก้วเล็ก ที่ดูงดงามแปลกตา ริ้วเชิงชายนี้บางคนเรียกว่า กั้น, ก่าน, ขีดคั่น, เชิงคั่น และเชิงผ้ากั้นชาย

       นอกจากนี้ยังนำมาทอเป็นผ้าลายตาราง หรือโสร่ง ผ้าโสร่งส่วนใหญ่ จะทอด้วย เส้นไหมลูกลายหรือเส้นไหมหางกระรอก เนื้อผ้าในลายตารางจึงมี สีเหลือบลายคล้ายเส้นขนของหางกระรอก จึงเรียกว่า ผ้าโสร่งไหมหางกระรอก หรือผ้าโสร่ง จะมีลักษณะเป็นตาตารางใหญ่ สี่เหลี่ยมจัตุรัส มีหลายสี ทั้งแดง เขียว เหลือง น้ำเงิน สลับกันตลอดทั้งผืน ขีดคั่นระหว่างตาตารางสีใหญ่นั้นด้วย ริ้วขีดคั่นสีแดง หรือสีขาวหรือสีเหลือง เป็นเส้นเล็ก ๆ ทั้งผืน ผ้าตาราง หรือผ้าโสร่งนี้จะมีหน้ากว้างประมาณ 1 เมตร ยาวประมาณ 2 เมตร แล้วเย็บเข้าด้วยกันเป็นถุง คล้ายกับผ้าซิ่นของผู้หญิง โทนสีของผ้าจะมี 2 โทน คือ ผ้าโสร่งแดง จะมีสีสันสดใส สำหรับผู้ชายที่มีอายุไม่สูงนัก ไม่เกิน 40 ปีแต่ถ้าเป็นผู้ชายสูงวัย จะใช้ผ้าโทนสีเข้ม เรียกว่า ผ้าโสร่งดำ

       จากกรรมวิธีการทอและลวดลายของผ้าหางกระรอก อาจสรุปเป็นลักษณะเด่นของผ้าหางกระรอก ได้ว่า การทอผ้าไหมหางกระรอกนิยมทั่วไป ในภาคอีสานโดยเฉพาะเขตอีสานตอนใต้ ทอโดยการนำเส้นไหม ๒ เส้นมาควบกันให้เป็นสีเดียวกันเช่น สีเขียวควบสีเหลือง สีแดงควบสีเหลือง โดยเส้นไหมที่นำมาทอจะเป็นไหมเส้นเล็กเพราะจะทำให้ผ้าที่ทอมีความละเอียด งดงามและจะเกิดความเลื่อมของสีผ้าเมื่อทอ

You may also like...

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *