ลายละเบิก

ละเบิก เป็นคำเรียกในภาษาท้องถิ่น หมายถึงเปิด ลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ของผ้าชนิดนี้เกิดจากการเรียงสีเส้นยืนเป็นลายริ้วหลากสีแล้วทอตัดให้เป็นลายตาราง โดยใช้สีเดียวกันกับเส้นยืน มีสีหลักคือสีขาว และสีรอง ได้แก่ สีน้ำเงินหรือสีม่วง สีเขียว สีเหลือง ในผ้าลายดั้งเดิมซึ่งใช้เป็นผ้านุ่งในชีวิตประจำวันจะมีสีแดงเฉพาะส่วนที่เป็น “เจือย” เท่านั้น แต่ปัจจุบันมักมีสีแดงทออยู่ในตัวลายด้วย

จังหวัดสุรินทร์ประกอบไปด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลาย แต่ที่มีความเกี่ยวข้องกับลวดลายผ้านั้นมีสำคัญอยู่ 3 ชาติพันธุ์ คือชาติพันธุ์เขมร, กูยและลาว ซึ่งแต่ละชาติพันธุ์จะมีเอกลักษณ์ของลวดลายบนพื้นผ้าแตกต่างกันออกไป ซึ่งผ้าไหมในจังหวัดสุรินทร์มีทั้งผ้าไหมลายมัดหมี่,ลายยกดอก,ลายขิด,ลายโครงสร้าง,ลายพื้น หรือเทคนิคการสร้างลวดลายแบบผสมโดยนำเทคนิคของผ้าลายมัดหมี่มาทอยกดอก

        คนไทยเชื้อสายเขมรนิยมใช้ผ้าไหมซึ่งเป็นลายที่มีเอกลักษณ์ของกลุ่มชน มีรูปแบบลายผ้าที่เรียบง่ายสีสันสวยงาม มีการทอสืบทอดกันมาตั้งแต่โบราณ อันได้แก่

        ผ้ากระเนียว หรือผ้าลายหางกระรอก เป็นผ้าทอที่มีลายเป็นริ้วตรง ใช้ไหมพุ่งที่ควบกันสองสีและไหมยืนเส้นใช้สีเดียวกันยืนพื้น ผ้าชนิดนี้สันนิฐานว่าน่าจะเป็นผ้าที่มีการรู้จักทอนุ่งเป็นลายรุ่นแรกๆ ผ้าในกลุ่มที่ใช้เทคนิคการทอลักษณะนี้ได้แก่ ผ้าจะปันชวร อันลูนซีม(ลายสยาม) ผ้ากระเนียวผ้าดังกล่าวผู้หญิงทุกวัยนิยมนำนุ่งกันในชีวิตประจำวันแต่ถ้าเป็นโอกาสสำคัญจะใช้ผ้าดังกล่าวนี้ต่อเชิงผ้านุ่งอย่างสวยงาม ผ้ากระเนียวกอเตีย(ผู้ชายใช้นุ่งโจงกระเบน)

        ผ้าลายมัดหมี่ เช่นผ้าลายโฮล(ลายน้ำไหล)หรือผ้าคั่นเป็นเทพีแห่งผ้าไหมเขมร ใช้เทคนิคการทอแบบผ้ากระเนียวผสมกับการมัดหมี่ผ้าโฮลนี้นิยมนำมาต่อเชิง ผ้ามัดหมี่ทั้งผืนส่วนใหญ่จะทอเป็นรูปสัตว์ และรูปพรรณพฤกษาตามจินตนาการ หญิงทุกวัยนิยมนำมานุ่งในโอกาสงานแต่งหรืองานบุญต่างๆ การทอผ้าแบบนี้แสดงถึงพัฒนาการการทอผ้าแบบดังเดิมแล้วนำมาผสมสานจนเกิดลายผ้าแบบใหม่ขึ้นมาของชาวเขมร

        ผ้าทอยกดอก เช่นผ้าเก็บหรือผ้าลายลูกแก้ว เป็นการใช้เทคนิคการเพิ่มตะกอให้มากขึ้นกว่าสองตะกอที่เป็นอยู่ลายผ้าที่ได้จะเป็นลายดอกนูนขึ้นมาตลอดทั้งผืนเป็นผ้าทอที่ต้องใช้เทคนิคความสัมพันธ์ในการเหยียบตะกออย่างชำนาญแต่ทอยากไม่เท่าผ้าละเบิกเพราะใช้ไหมยืนและไหมพุ่งสีเดียวกัน ใช้ในกลุ่มหญิงสูงวัยซึ่งนิยมนำไปย้อมดำด้วยลูกมะเกลือแล้วนำไปอบด้วยเครื่องหอมให้ติดกับเนื้อผ้านำมาเป็นผ้าเบี่ยงไหล่

        ผ้าลายอันลูน หรือผ้าลายตารางซึ่งใช้ไหมพุ่งและไหมยืนหลายสีแบบเดียวกันทอขัดกัน เกิดเป็นตาราง ถ้ามีขนาดใหญ่เรียกว่า อันลูนธม ถ้าขนาดเล็กเรียกว่าอันลูนตู๊จ เป็นลายผ้าที่รู้จักทอนุ่งรุ่นถัดมาซึ่งสับซ้อนขึ้นมาหน่อย กลุ่มผ้าทอแบบนี้มีลายผ้าต่างๆกันเช่น ผ้าสมอ ผ้าสาคู ผ้าดังกล่าวนิยมใช้ในกลุ่มหญิงสูงวัยใช้นุ่งอยู่บ้าน ผ้าอัมปรม ผ้าละเบิก ผ้าสองชนิดนี้นิยมใช้ในกลุ่มหญิงสูงวัยใช้นุ่งในโอกาสสำคัญซึ่งมีการทอที่ยากขึ้นมาอีก โดยเฉพาะผ้าอัมปรมต้องใช้เทคนิคการมัดย้อมเข้ามาทอด้วย ส่วนผ้าละเบิกต้องใช้ตะกอมากลายที่ได้จะแปลกตา และผ้าที่ใช้ในผู้ชายเช่นผ้าโสร่งใช้นุ่ง ผ้ากลาและ ผ้าจดอใช้ผาดไหล่

        ผ้าละเบิก เป็นผ้านุ่งพื้นเมืองประเภทยกดอกลายตารางสี่เหลี่ยม ใช้เส้นยืนหลายๆสี สีละ 2-4 เส้นเรียงสลับกันไปตามหน้ากว้างฃองผืนผ้า ทอ 4 ตะกอ โดยยกทีละ 2ตะกอ ลักษณะผ้าเหมือนมีช่องสี่เหลี่ยมเป็นช่วงๆ ดูเผินๆ จะเห็นเป็นลายตาราง ดูใกล้ๆ จะเห็นเป็นลายยกในเนื้อผ้า

(นางเจือน แม่นจิตร ผู้ให้ข้อมูล) และการให้สีเข้มทึบ มักจะพบในกลุ่มชาติพันธุ์เขมร (๑) ส่วนกลุ่มชาติพันธุ์กุย (๒) ใช้สีสันสดใสกว่า

 คำว่า ละเบิก เป็นภาษาเขมร หมายถึง เปิด ใช้เรียกลวดลายผ้าที่เกิดจากการใช้เทคนิคการทอผ้า โดยใช้ตะกอตั้งแต่ 4-12 ตะกอในการดึงเส้นไหมยืนให้เปิดเป็นช่องขึ้นลงสลับกัน เพื่อเป็นช่องให้สอดกระสวยที่บรรจุหลอดด้ายพุ่งเข้าไป เป็นการเปิดลายด้วยการเหยียบตะกอขึ้นลงครั้งละ 2 ตะกอพร้อมกัน เมื่อทอไปเรื่อยๆจะเกิดเป็นลายนูนขึ้นมาจากเนื้อผ้า เส้นไหมที่เป็นเส้นยืนและเส้นพุ่งจะใช้เส้นไหมสีเดียวกัน

       ผ้าละเบิก ลักษณะเป็นผ้ายกดอกลายตารางสี่เหลี่ยม การทอจะยกตะกอครั้งละ 2 ตะกอ คือ ตะกอที่ 1-2 และตะกอที่ 3-4 เพื่อทอเป็นพื้น ส่วนลวดลายเกิดจากการแยกตะกอ 2-3 ซึ่งส่วนใหญ่จะมีเส้นยืนสีเหลืองและสีขาวอยู่ด้วย เมื่อทอออกมาแล้ว ทำให้เห็นลายเด่นชัดขึ้น

  สีเส้นยืนที่ใช้จะมี 6 สี แต่เท่าที่ทอกันนิยมย้อมเส้นยืนเป็นสีเป็นสีม่วง สีส้ม สีเขียว สีเหลือง สีแดง และสีขาว สีเส้นพุ่งย้อม 6 สี เช่นเดียวกับเส้นยืน
แล้วนำมากรอใส่กระสวย

You may also like...

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *